Archive

Archive for the ‘Uncategorized’ Category

เมื่อครั้งพูดคุยกับ “สมคิด จิรานันตรัตน์”

December 18th, 2018 No comments

บทสัมภาษณ์นี้เป็นการพูดคุยกับ “คุณสมคิด จิรานันตรัตน์” อดีตประธาน บริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) ถึงเรื่องทิศทางของธุรกิจธนาคารในอนาคตว่าจะเดินไปในทางไหนเมื่อถูกดิจิทัลปั่นป่วน เป็นการสัมภาษณ์เมื่อเดือนสิงหาคม 2561 ก่อนที่จะมีการเปิดตัว KPlus เวอร์ชั่นใหม่ และมาลงหลังจากที่คุณสมคิดได้เกษียณจากตำแหน่งนี้ไปแล้วเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 61 ที่ผ่านมา

 

K.Somkid3

เมื่อ digital disruption …..

ทุกคนมีความท้าทายหมดในโลกยุคนี้ เพราะว่าโลกยุคนี้เทคโนโลยีเปลี่ยนเยอะ แล้วเทคโนโลยีที่เปลี่ยนก็เป็ยสิ่งที่อาจจะทำให้วิธีการแบบเดิมๆ ธุรกิจแบบเดิมๆ อาจจะมีความเสี่ยงสูงมาก และอาจจะอยู่ไม่ได้

ที่ผ่านมาเราก็เห็นตัวอย่างหลายธุรกิจที่อยู่ไม่ได้เพราะเทคโนโลยีเข้ามา disrupt เช่น ธุรกิจสื่องสิ่งพิมพ์ อยู่ไม่ได้เพราะว่าต้นทุนที่จะทำสื่อสิ่งพิมพ์กระดาษสูงมากกว่าสื่ออนไลน์​และผู้บริโภคก็หันไปบริโภคสื่ออนไลน์มากขึ้น เรื่องต้นทุนและพฤติกรรมผู้บริโภคทำให้ธุรกิจแบบเดิมอยู่ไม่ได้ อาจจะทุก sector ค่อยๆ ลามไปทีละ sector ก่อนหน้านั้นเป็นกล้องถ่ายรูป ตอนนี้ธุรกิจทีวีก็มีผลกระทบ ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมไปบริโภคสื่อ YouTube Facebook และสื่ออื่นๆ มากขึ้น ธุรกิจแบบเดิมอยู่ยาก ทั้งต้นทุนสูงกว่าและผู้บริโภคก็เปลี่ยนพฤติกรรม

ตอนนี้มาถึงธุรกิจทางด้านการเงิน เช่นเดียวกัน ต้นทุนต่ำลงอย่างมาก เพราะว่าต้นทุนในการทำ transaction บนสื่อออนไลน์ เช่น บน mobile เทียบกับสาขามันต่างกันเยอะมาก ผู้บริโภคก็หันมาใช้สื่อทางออนไลน์ ทาง mobile มากขึ้นๆ จะเห็นได้ว่า transaction บน mobile มากกว่าสาขาถึง 10 เท่า ณ ปัจจุบัน ของเราเองภายในช่วง 4-5 ปีเท่านั้นเอง ซึ่งมากกว่า ATM ถึง 2 เท่า (เมื่อก่อน ATM มี transaction มากที่สุด)​ แนวโน้มแบบนี้จะทำให้ต้นทุนของการให้บริการทางสื่อ mobile หรือสื่ออื่นในอนาคต จะต่ำลงๆ รูปแบบการให้บริการเปลี่ยนไป ดีขึ้นกว่าเดิม

สื่อทาง mobile เมื่อเทียบกับ Internet Banking / Cyber Banking มันดีกว่า ถูกกว่า และปลอดภัยกว่า แต่คนอาจจะยังไม่ทราบว่า mobile banking ปลอดภัยกว่า cyber banking แนวโน้มของคนที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมมาใช้ mobile banking สูงมากขึ้นๆ

ภัยคุกคามของธนาคารคือ …

threat สำคัญสำหรับธุรกิจการเงิน คือ คนที่จะเข้ามาอยู่ในธุรกิจการเงิน ไม่จำเป็นต้องอยู่ในธุรกิจการเงินเดิม อาจจะไม่ใช่คู่แข่งคนเดิม อาจจะเป็นคนนอกธุรกิจการเงิน อาจจะเป็นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ อาจจะเป็นบริษัท e-commerce ขนาดใหญ่ อาจจะเป็นบริษัท telco ขนาดใหญ่ อาจจะเป็น fintec ที่มีกำลังทรัพย์อย่างมาก คือ คนที่จะเข้ามาในธุรกิจแบบใหม่ หรือเข้ามาในธุรกิจการเงินจากภายนอก เขาต้องมีฐานเงิน เขาต้องมีฐานลูกค้า เขาต้องมีเทคโนโลยี ถ้าเขามี 3 อย่างนี้ ในอนาคตเส้นที่แบ่งเขตว่า เขตไหนหรือเขตของ financial industry มันถูกล้างไปหมดเลย

ในโลกแบบใหม่เส้นแบ่งเขตไม่มีแล้ว เราจะเห็นได้ว่า ถ้าเรายังทำแบบเดิม ยังคิดแบบเดิม รูปแบบการบริการเป็นแบบเดิม เราน่าจะมีปัญหา อันนี้เป็นสาเหตุหลักที่เราตั้ง KBTG และอันนี้ก็เป็นภารกิจหลักที่จะทำให้ KBTG และ KBank และธุรกิจธนาคาร ในประเทศไทนรอดพ้นจากการถูก take over หรือการถูก disrupt โดยธุรกิจแบบอื่น เราเป็นมา 2-3 ปีแล้ว ถึงตั้ง KBTG ขึ้นมา

Landscape ของ baking industry ….

Landscape ข้างหน้ามีความไม่ชัดเจนเยอะ ว่ารูปแบบของ landscape ข้างหน้าเป็นยังไง รูปแบบของการแข่งขันเป็นยังไง landscape ข้างหน้ามันเป็น “ดินแดนที่ยังไม่มีใครค้นพบ” เราต้องไปหา ต้องไปสร้างขึ้นมาว่า “ดินแดนที่ยังไม่มีใครค้นพบ” หน้าตาเป็นยังไง และเป็นภารกิจที่เราต้องทำอยู่ เพราะว่า “ดินแดนที่ยังไม่มีใครค้นพบ” มันจะสร้างให้เป็นแบบไหน

มีความท้าทายแน่นอนอยู่แล้ว อะไรก็ตามที่เป็นของใหม่ ใครก็ตามที่อยู่ในสภาพแบบนี้คิดว่าต้องท้าทาย เพราะเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้ และเป็นสิ่งที่เราต้องช่วยคิดและสร้างขึ้นมาก ท้าทายอยู่แล้ว แต่ถามว่าเราจะหนีมันหรือไม่ จะหลบ จะยอมให้คนอื่นเขาทำขึ้นมา แล้วเราอยู่เฉยๆ หรือเปล่า เป็นไปไม่ได้

ตั้งเป้าที่เติบโต 10X ….

ถามว่าเราเป็นผู้นำในเรื่องนี้ไหม ตอนนี้ในโลกดิจิทัลในเมืองไทยก็ถือว่า KBANK เป็นผู้นำในเรื่อง mobile banking ในประเทศไทย ถ้าพูดถึงจำนวน volume, transaction ลูกค้า ใน SEA เราก็เป็นผู้นำ ถ้าพูดถึง scale ระดับโลก การเป็นผู้นำใน SEA มันขี้ปะติ๋วมากเลย เทียบระดับโลกไม่ได้เลย ระดับโลกเขาพูดกันเป็น 100 ล้านคน 1,000 คน อย่าง WeChat, Alipay เขาพูดกันเป็น 1,000 ล้านคน ของเรา 10 ล้านคน เล็กน้อยมาก เราต้องคิดถึงตัวเลขที่ใหญ่กว่า 10 ล้านคน เราไมไ่ด้คิดแค่ปัจจุบัน เราคิดถึง 5-10 ปีข้างหน้า เราคิดถึงตัวเลขที่เป็น 10X ไม่ใช่แค่ % incremental increase แต่เป็น explotential increase เราคิดถึงตัวลข 10 เท่า ซึ่ง timeframe ยังกำหนดไมได้ เราหวังว่าวิธีการ สิ่งที่เราทำเราตั้งเป้าว่าจะไปสู่ตัวเลขที่เป็น 10 เท่าได้ ส่วนจะเป็นถึงเมื่อใด วันนี้ถ้าบอกก็แสดงว่าโม้เกินไป เพราะยังไม่มีอะไรที่ชัดขนาดนั้น

แต่คิดว่าเราต้องหารูปแบบ วิธีการที่จะทำให้เราไปถึง10 เท่าให้ได้ก่อน แล้วเราลองทำมันสัก 1-2 ปี และหลังจาก 1-2 ปีแล้วเราถึงจะบอกได้ว่า อีกกี่ปีเราถึงจะไปถึง 10 เท่าแง่จำนวนคนใช้ แสดงว่าไม่เฉพาะในประเทศไทย ต้องเป็น regional หรือ global player ต้องขยายไปขอบเขตที่ใกล้ที่สุดก่อน คือ indo-china, CLMV, indonesia เป็นประเทศที่เราคุ้นเคย

การเข้ามประเทศเราต้องการการ support จาก regulation และเราต้องเป็น global player mentality mindset คิดแบบ local ไม่ได้ คิดแบบ local เราจะคิดถึงแต่วิธีการที่เราคุ้นเคย และวิธีการที่เป็นคนไทยทำตรงกับผู้บริโภคคนไทย ถ้าเราจะเป็น regional หรือ global player เราต้องคิดเป็น universal มากขึ้น โดยที่สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราทำต้องเป็น platform ที่เปิดมากพอที่จะไปสู่ regional ได้ หรือแม้กระทั่ง ในอนาคตถ้าไปถึง 10X อาจจะมากกว่า regional ซึ่งต้องอาศัย factor ที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน คือ factor ด้านการคิดการออกแบบ platform ต้องต่างจากปัจจุบัน ผู้ที่เข้ามาร่วมใน platform ต้องแตกต่างจากที่เราคิดอยู่ในปัจจุบัน ปัจจุบันเราบอกว่า KPlus เป็นเฉพาะของ KBank แต่ถ้าเราจะเป็น platform อนาคต มันจะต้อง beyond one bank และต้อง beyond banking

ความคิดนี้มันจะอยู่ใน KPlus version ใหม่ เราคิดมานานแล้วคิดมาเป็นปีแล้ว จะชัดขึ้นเรื่อยๆ ใน 2 ปี หลังจาก 2 ปีที่มันชัดขึ้น มันจะไปสู่ regional ได้ หลังจาก 5 ปี ถ้า regional success มันจะไปสู่ภาพที่ใหญ่กว่านั้นได้ global ได้

KPlus as a platform …

เราจะเริ่มเห็นวิธีคิดใน KPlus version ใหม่ ว่าเป็น opened platform มากขึ้น วิธีคิดจะใช้ AI มากขึ้น วิธีคิดจะรองรับ partner ที่จะเข้ามาอยู่ใน platform มากขึ้น วิธีคิดที่จะเอาลูกค้าเป็นศูนย์กลางมากขึ้น บริการต่างๆ ไม่จำกัดเฉพาะบริการทางการเงิน partner ก็ไม่จำเป็นต้องเป็น bank/finance KPlus เป็น platform

วิธีคิด ออกแบบ จะต้องให้บริการได้มากกว่าประเทศไทยได้ แต่ช่วงต้นต้องโฟกัสที่ประเทศไทยก่อน ให้โมเดลมัน work ได้ก่อน ถ้า model มัน work ได้ในเมืองไทย การ expand ไป regional มันไม่ได้ยาก

Version เก่าไม่ได้คิดถึงคนต่างประเทศเลย และไม่ได้คิดถึงธุรกิจที่อยู่นอกเหนือธุรกิจ banking เลย และไม่ได้คิดถึงการเอา AI เป็นพื้นฐานของบริการ เรามี AI เข้าไปใส่ได้บ้าง แต่ไม่ใช่ AI as a platform มันเป็น AI ที่เข้าไปเสริมบางจุด แต่ KPlus version ใหม่จะเป็น AI as a platform

เราคิดใหม่ รื้อใหม่ เปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ทำมาปีหนึ่ง end-user แค่อัพเดทแอพฯ เขาจะเห็นอย่างอื่นเพิ่มมากขึ้น แต่รุปแบบการทำ transaction experience จะเหมือนเดิม เขาจะเห็น AI-based service หรือ GADE suggestion มากขึ้น เป้าคือ 10 เท่าของ 10 ล้าน เรามองยาว เราไม่มองแค่ตัวเลขในประเทศไทย เรามองยาวว่าวิธีการที่เราทำจะนำไปสู่ 100 ล้านคนได้ คืออะไร มันคือ challenge ของผมและ KBank เพราะผมไม่มีความสามารถในการทำคนเดียวได้ เราต้องทำงานเป็นทีม

จุดที่ทำให้เราต้องเอา technology กลับมาดูแลเองทั้งหมด คือ เรามองเห็นว่า technology จะมา disrupt ถ้าเราไม่ build capability เอง การทำ tech reengineer เราทำมาเรื่อยๆ เป็นเวลา 10 ปี

การที่จะต้อง build capability ในวันข้างหน้าที่จะต้องเป็น technology สำหรับอนาคต การที่จะต้อง attract talent เก่งๆ การที่จะต้องสร้าง culture ให้มีความกระฉับกระเฉง ว่องไว รวดเร็ว มันจำเป็นต้องแยก KBTG ออกมา เพราะถ้าอยู่ในองค์กรเดิมที่มีความใหญ่อยู่ มันแก้ไม่ทัน มันเป็นไปได้ยาก ต้องแยกออกมาเป็นหน่วยเฉพาะกิจ แก้ไขได้เร็วและเป็นตัวที่มองไปข้างหน้า ช่วยสร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ

เรื่องการสร้างความสามารถ จำนวน resource เทียบกับสิ่งที่เราจะทำ หรือเทียบกับความท้าทายว่าเราอยากจะสร้างอะไรใหม่ มันไม่เคยพอ เรายังต้องการ resource อีกจำนวนมาก แต่ว่าฐานที่เราสร้างขึ้นผมคิดว่าเราสร้างขึ้นมาทั้งเรื่องกำลังคน ความสามาถรของคน เราสร้างฐานได้ดีถึงดีมาก ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่ถามว่าพอไหม ไม่พอ เราสร้างฐาน resource ด้าน AI ขึ้นมาดีพอสมควรในช่วงปีครึ่งที่ผ่านมา เรามีฐานที่ทำเรื่อง blockchain ทำเรื่อง mobile ซึ่งเราทำมา 5 ปีแล้ว ในขณะที่เราไม่ outsource เรื่อง mobile banking เราสร้างเองมา 5 ปีแล้วเพราะเราคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เป็นฐานที่จะเป็นกำลังสำคัญในอนาคต ตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว

KADE 04

KBTG:

ทีม KBTG มี 1,200 คน มี KLabs คิดว่า 70% เป็น technology people เราต้องการสร้าง KLabs สู่ระดับ world class ไม่ใช่แค่ประเทศไทย ต้องมีคนระดับ world class บริษัทระดับ world clase ทำอะไรได้เราก็ต้องทำได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีใหม่ หรือ blockchain หรือ AI design. mobile ถ้า world calss ทำอะไรได้เราก็ต้องทำได้เหมือนกัน capability เดียวกัน

KLabs เป็นอาวุธสำคัญ เป็นคนที่เราเลือก ซึ่งเราเลือกจากคนที่สามารถทำงานกับบริษัท global ได้ ด้วยความสามารถเดียวกัน ถ้าเขาเข้า Google ได้ เข้า Facebook ได้ เราอยากได้
KLabs เป็น part นึงของ KBTG ทุกคนต้องทำงานร่วมกัน ทั้งหมดเป็นกองทัพ เราคือ technology company เราไม่ใช่ bank เราต้องการให้คน recognize เราเป็น world class technology company

การบริหารพนักงานเจนมิลลิเนียม ….

คุณสมคิดอายุ 58 ปี พนักงานส่วนใหญ่ที่ต้องดูแล ที่ KLabs อายุเฉลี่ยไม่ถึง 30 ปี เทียบเคียงกับบริษัทเทคโนโลยีดีๆ ระดับโลกได้ ถ้าทั้ง KBTG อายุเฉลี่ยคือ 30 ปลายๆ

ผมนี่รุ่น baby boom เราผ่านเศรษฐกิจที่ยากลำบาก เป็นคนที่มีความมุ่งมั่น อดทน ทนๆๆๆ แต่คนยุคมิลลิเนียม เขาโตมากับเทคโนโลยี เขาเป็น digital native เป็นคนที่ทำอะไรหลายๆ อย่างด้วยความรวดเร็ว คิดอะไรเร็ว ทำอะไรเร็ว และไม่ได้โตมาแบบลำบาก เพราะฉะนั้น วิธีคิด mindset ต่างๆ ไม่เหมือนกัน

เราก็ต้องทำงานกับเขาได้ เขาก็ต้องทำงานกับเราได้ ทำอย่างไรให้คนสองเจนเนอเรชั่น หรือว่าช่องว่างของวัยวันอยู่ด้วยกันได้ ผมว่ามันต้องคลุกคลีกัน เราต้องฟังเขา เขามีไอเดียดีๆ หลายอย่าง และเขาก็ต้องฟังเรา เพราะเราก็มีประสบการณ์ดีๆ หลายอย่าง ถ้ามี respect ซึ่งกันและกัน อันนี้ไปได้ และเราก็เรียนรู้ซึ่งกันและกัน อย่าให้มันเป็น สิ่งที่ generation gap แล้ว ทำงานร่วมกันไม่ได้ ถ้าคิดแบบนั้นจะลำบาก จะไม่เกิดการยอมรับซึ่งกันและกัน เหมือนกับอยู่บ้าน คุณก็มีลูกมีหลานก็คนละ generation ทำไมปู่ย่าตายาย ถึงอยู่กับลูกหลานได้ ทำไมบ้างครัวครัวอยู่กันได้ บางครอบครัวฟังกันไม่รู้เรื่อง มันต้องอยู่ที่ต้อง respect ซึ่งกันและกัน

เราอยากทำอันนี้ให้เป็น opened platform ให้ช่วยชีวิตคนดีขึ้น และถ้ามันทำได้จริง platform นี้มันขยายไปสู่ regional ได้ ขยายไป global ได้ มันก็อยู่รอดได้ และมันก็ช่วยเศรษฐกิจของชาติได้ มันช่วยให้คนมีความคิดที่จะทำธุรกิจใหม่ๆ ได้ดีขึ้น

เรามาคนละฟากกัน แต่สุดท้ายอาจจะคิดคล้ายๆ กัน อาจจะไปเจอกันที่เดียวกัน
เราเติบโตมาจาก bank mobile banking เติบโตมาจากการที่เรามี source of fund เรามีคนที่เรารู้จักเป็นอย่างดี คนพวกนี้มีตัวตน แต่คนที่เติบโตมาจาก social network บางทีตัวตนเขาไม่เคยเห็น การที่เขาจะก้าวจาก social network มาสู่ serious business เขาต้องก้าวผ่านภูเขาเหมือนกัน เราก็ต้องก้าวผ่านภูเขา แต่ภูเขาคนละลูก

Motto ในการทำงาน …..
จริงๆ ไม่มี motto ในการทำงาน ผมคิดว่าเวลาทำงาน เราไม่ยอมแพ้ เราไม่เคยยอมแพ้กับสิ่งที่ยังมองไม่เห็น ไม่เคยยอมแพ้กับสิ่งที่มันเป็นความมืด ไม่เคยยอมแพ้กับสิ่งที่บอกว่าเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราไม่ยอมแพ้กับสิ่งเหล่านี้ เราก็สามารถที่จะทำให้ ความเป็นไปไม่ได้ ที่บอกว่า beyond possibility มัน possible มันไม่ใช่ motto แต่ผมคิดแบบนี้ อะไรก็ตามที่มัน impossible หรือมัน beyond possibility ถ้าเราไม่ยอมแพ้ เราสู้กับมัน มันต้องถึงฝั่งสักวัน

อยากเห็นความคิดดีๆ อยากเห็นคนที่เก่งๆ มาทำของที่เกิดประโยชน์ เราอยากเห็น เราอยาก support และเราอยากจะช่วย ถ้าเขามาอยู่ใน ecosystem เดียวกับเราได้ หรือเราช่วยให้เขาสามารถที่จะ ประสบความสำเร็จได้ โดยเข้ามาอยู่ใน platform หรือ ecosystem ของเรา เราก็ยินดีช่วยสนับสนุนทุกอย่าง ผมคิดว่า startup ถ้ามีคนสนับสนุนที่ดี เขาไปได้ คนที่มีไอเดียดีๆ เก่งๆ ถ้าอยู่คนเดียวหรือว่าไม่ได้มี ecosystem ที่จะช่วย เขาต้องลงแรงออกแรงเยอะมาก เราก็ผ่านจุดนั้นมาก่อน

View :4222

โหลด K-Mobile Banking PLUS แล้วลุ้น Samsung Galaxy S6 edge+ และ Gear S2 เป็นคู่ง่ายๆ 59 วัน 59 คู่

January 11th, 2016 No comments

โหลด K-Mobile Banking PLUS  แล้วลุ้น Samsung Galaxy S6 edge+ และ Gear S2 เป็นคู่ง่ายๆ 59 วัน 59 คู่

AW-FB-Pagepost-(1200x900px)_V2

โหลดแล้วลุ้น Samsung Galaxy S6 edge+ และ Gear S2 เป็นคู่ง่ายๆ 59 วัน 59 คู่ รวมมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท โหลดและดูรายชื่อคนได้คู่ ที่ http://bit.ly/rewardplus ตั้งแต่วันนี้ ถึง 9 ม.ค. 59

K-Mobile Banking PLUS

ธนาคารบนมือถือกสิกรไทยเปิดทุกวันไม่มีวันหยุด

ความยุ่งยากในเรื่องการทำธุรกรรมทางการเงิน “ถอน โอน จ่าย” ของคุณจะหมดไป หากคุณเป็นลูกค้าธนาคารกสิกรไทยและใช้บริการ​ K-Mobile Banking PLUS “ธนาคารบนมือถือกสิกรไทย” ที่เปิดให้บริการตลอดเวลาไม่มีวันหยุด เพราะ K-Mobile Banking PLUS คือ บริการธนาคารบนมือถือจากธนาคารกสิกรไทยที่ให้คุณทำธุรกรรมทางการเงินได้ง่ายๆ ทุกที่ตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยความปลอดภัยระดับสูง 3 ขั้น (Triple Lock Security) โดยระบบจะทำการตรวจสอบข้อมูลเครื่องโทรศัพท์, เบอร์โทรศัพท์ และรหัสผ่านส่วนตัวทุกครั้ง ก่อนอนุญาตให้เข้าใช้งาน

เริ่มต้นใช้งาน K-Mobile Banking PLUS ธนาคารบนมือถือกสิกรไทย ง่ายๆเพียงดาวโหลดแอพ ได้ทั้ง Google play และ App Store และดูวิธีการสมัครและใช้งานแอพ ได้ที่ http://bit.ly/rewardplus หรือ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-8888888 กด 03

ทั้งนี้ คุณสามารถสมัครบริการด้วยตนเองได้ที่ตู้ ATM ตั้งแต่เวลา 06.00 – 22.00 น. หรือสมัครผ่านพนักงานธนาคารกสิกรไทยได้ทุกสาขาทั่วประเทศในเวลาทำการ

บริการ K-Mobile Banking PLUS ธนาคารบนมือถือกสิกรไทย

บริการที่ K-Mobile Banking PLUS “ธนาคารบนมือถือกสิกรไทย” ให้บริการประกอบด้วย

– สอบถามยอด และรายการเคลื่อนไหวในบัญชี

– โอนเงินไปบัญชีธนาคารกสิกรไทย และต่างธนาคาร ทั้งด้วย เลขที่บัญชี เบอร์มือถือ และ QR-code

– จ่ายบิลด้วยการสแกน Barcode จากมือถือโดยตรง

– เติมเงินมือถือ อีซี่พาส (Easy Pass) และเติมเงินอื่นๆ

– สอบถามประวัติการทำธุรกรรมผ่าน K-Mobile Banking PLUS

– บริหารบัญชี / บัตร ส่วนบุคคล ให้ง่ายขึ้น โดยตั้งชื่อ หรือ ใส่รูปภาพให้บัญชี /บัตร รายการโปรด และพื้นหลัง เพื่อจดจำง่าย

– บันทึกสลิปรายการลงโทรศัพท์มือถือโดยอัตโนมัติ

– แจ้งผลการโอนเงินฟรี ไปยัง SMS, อีเมล์และเฟสบุ๊ค Line โดยเลือกจาก Contact List บนโทรศัพท์มือถือ

– ค้นหาที่ตั้งสาขา หรือตู้เอทีเอ็มของธนาคาร

– ซื้อขายกองทุน

– รับสิทธิพิเศษต่อเนื่อง ตลอดปี จาก KBank Reward PLUS

อ่านกันมาถึงตอนนี้แล้วก็เริ่มหยิบโทรศัพท์มือถือมากดดาวน์โหลดแอพพิลเคชั่น K-Mobile Banking PLUS แล้วลุ้น Samsung Galaxy S6 edge+ และ Gear S2 เป็นคู่ง่ายๆ 59 วัน 59 คู่ จนถึงวันที่ 9 .. 59 กันเถอะ อย่าได้รอช้า!!!

 

[Advertorial] 

 

View :4456
Categories: Uncategorized Tags:

ภาพยนตร์ “คุณทองแดง the Inspirations” แอนนิเมชั่นแห่งปีที่คุณไม่ควรพลาด

November 17th, 2015 No comments

 

คุณทองแดง The Inspirations

เชื่อแน่ว่าใครหลายคนยังคงจำเรื่องราวที่ประทับใจของ “คุณทองแดง” สุนัขทรงเลี้ยงซึ่งปรากฏเป็นบทพระราชนิพนธ์ “คุณทองแดง (ฉบับการ์ตูน)” ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ไม่รู้ลืม

คุณทองแดง ลูกของ “แดง” สุนัขจรจัดบริเวณซอยศูนย์แพทย์พัฒนา ถนนพระราม 9 เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงนำมาเลี้ยงหลังจากเสด็จพระราชดำเนินไปเปิดศูนย์การแพทย์พระราม 9 และนายแพทย์คนหนึ่งนำคุณทองแดงมาทูลเกล้าฯ ถวายให้ทอดพระเนตร และกลายเป็นสุนัขทรงเลี้ยงที่ติดตามถวายงานรับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกครั้ง ไม่ว่าจะเสด็จพระราชดำเนินไปที่ใด

“คุณทองแดง” มีลักษณะพิเศษต่างจากลูกสุนัขตัวอื่น คือ มีสายสร้อยรอบคอครึ่งเส้น มีถุงเท้าขาวทั้ง 4 ขา มีหางม้วนขดเป็นวง ปลายหางดอกสีขาว และมีจมูกแด่น

ความประทับใจเหล่านั้นจะกลับมาให้ได้สัมผัสกันอีกครั้งผ่าน ภาพยนตร์ “คุณทองแดง the Inspirations” ที่สร้างขึ้นจากแรงบันดาลใจจากบทพระราชนิพนธ์ “คุณทองแดง (ฉบับการ์ตูน)”ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตจัดทำ เป็นภาพยนตร์ที่บันทึกคุณค่าแห่งความกตัญญู ซื่อสัตย์ และกล้าหาญที่ไม่มีเงื่อนไขใดๆ

โดยมีกำหนดเปิดรอบปฐมทัศน์วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2558 และฉายพร้อมกันทั่วประเทศในวันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2558 โดยเงินรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจากการฉายภาพยนตร์ มอบให้กับ “มูลนิธิศูนย์รักษ์สุนัขหัวหิน ใน พระบรมราชูปถัมภ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นโครงการตามพระราชประสงค์เพื่อเป็นแหล่งพักพิงของสุนัขจรจัด และสุนัขที่ถูกเจ้าของทอดทิ้ง และเป็นโครงการต้นแบบบริหารจัดการอย่างมีระบบครบวงจรให้แก่ท้องถิ่นอื่น ในการแก้ไขปัญหาสุนัขจรจัด

3 ตอน สะท้อนคุณค่าและคุณธรรม “คุณทองแดง”

ภาพยนตร์ “คุณทองแดง the Inspirations” ใช้ทุนสร้างประมาณ 150 ล้านบาท โดยนำเรื่องราวของ “คุณทองแดง” สุนัขทรงเลี้ยงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นแรงบันดาลใจสร้างเป็นเนื้อหาของภาพยนตร์ ที่ผลิตโดย 4 สตูดิโอชั้นนำของประเทศไทย ได้แก่ IMAGIMAX, WORKPOINT PICTURES, THE MONK STUDIOS และ DR.HEAD

การดำเนินเรื่องของภาพยนตร์ ผ่านการเปิดเรื่องโดย โหน่ง 3 ช่า และน้องเกล โสพิชา อังคไวมงคล ตัดสลับคั่นกับแอนิเมชั่น จำนวน 3 ตอน ซึ่งเป็นสุนัขที่มีแบบอย่างและเจริญรอยตามคติธรรมของคุณทองแดง ได้แก่

ตอน “จร” สุนัขจรจัด ตัวแทนของความกตัญญู และความซื่อสัตย์

ตอน “ทองหล่อ” ตัวแทนของความกล้าหาญในการปกป้องเจ้านายที่เป็นที่รัก

ตอน “คอปเปอร์เพื่อนรัก” ตัวแทนของความมุ่งมั่นขวนขวาย หากอยากได้สิ่งใดต้องลงมือทำด้วยตนเอง

ทองแดง2

ตอน “จร” สุนัขจรจัด

ตัวแทนของความกตัญญู และความซื่อสัตย์

ในตอน “จร” เป็นการนำเสนอเรื่องราวของ ความกตัญญู และความซื่อสัตย์ โดย “จร” เป็นสุนัขจรจัดที่มีความกตัญญูและซื่อสัตย์ต่อหลวงพ่อที่ให้ความช่วยเหลือเมื่อตอนบาดเจ็บ เมื่อมีคนจะมาขโมยสมบัติของวัด จึงช่วยป้องกันไว้อย่างสุดความสามารถ

เรื่องราวของ “จร” ได้แรงบันดาลใจจาก “คุณทองแดง” ที่มีความกตัญญูรู้คุณต่อคุณมะลิ (สุนัขทรงเลี้ยงก่อนคุณทองแดง ซึ่งคุณทองแดงเกิดหลังลูกคุณมะลิเพียงไม่กี่วัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงยกให้คุณมะลิเลี้ยงคุณทองแดง) คุณทองแดงไม่เคยลืมคุณแม่มะลิ ตอนแรกๆ ไม่เคยอยู่ห่างแม่มะลิ ต่อมาเมื่อแยกกันอยู่ เมื่อมาพบกันทองแดงก็ยังแสดงความเคารพแม่มะลิ ผิดกับคนอื่นที่เมื่อกลายมาเป็นคนสำคัญแล้ว มักจะลืมตัว และดูหมิ่นผู้มีพระคุณที่เป็นคนต้อยต่ำ

ทองแดง4

ตอน “ทองหล่อ”

ตัวแทนของความกล้าหาญในการปกป้องเจ้านายที่เป็นที่รัก

ในตอน “ทองหล่อ” เป็นการนำเสนอเรื่องราวของความกล้าหาญ และความสามารถพิเศษ คือ ปอกมะพร้าว โดย “ทองหล่อ” เป็นสุนัขที่ถูกเก็บมาเลี้ยง ฉลาด ชอบกินลูกพลับ และกล้าหาญ เมื่อเจ้าของจะมีอันตรายช่วยปกป้องจนถึงที่สุด

เรื่องราวของ “ทองหล่อ” ได้แรงบันดาลใจจาก “คุณทองแดง” ที่ชอบปอกมะพร้าว และกล้าหาญ คอยหมอบเฝ้าเป็นองครักษ์ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่เคยห่าง

ทองแดง7

ตอน “คอปเปอร์เพื่อนรัก”

ตัวแทนของความมุ่งมั่นขวนขวาย หากอยากได้สิ่งใดต้องลงมือทำด้วยตนเอง

ในตอน “คอปเปอร์เพื่อนรัก” เป็นการนำเสนอเรื่องราวของ “คอปเปอร์”สิ่งของไร้ค่า ที่เมื่อมีผู้เห็นคุณค่าและนำกลับมาดูแล ก็กลายเป็นของมีค่า

“คอปเปอร”เป็นหุ่นทรุดโทรม สภาพเหมือนเศษเหล็ก จนกระทั่งมีเด็กน้อยคนหนึ่งไปพบและนำกลับมาดูแล และในที่สุดก็พบว่าของที่ตัวเองพบนั้นเป็นของที่มีประโยชน์มีคุณค่า

เรื่องราวของ “คอปเปอร์” ได้แรงบันดาลใจจาก “คุณทองแดง” ซึ่งเป็นลูกของสุนัขจรจัดของศูนย์แพทย์พัฒนา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับมาเลี้ยง โดย “คุณทองแดง” เป็นแบบอย่างการปฏิบัติตัวที่ดีให้กับคนทั่วไป เรื่องนี้อ้างอิงถึงคำสอนของสมเด็จย่า ที่ทรงสอนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้เมื่ออยากได้ของเล่นอะไร ต้องทรงเก็บสตางค์ซื้อเอง หรือประดิษฐ์เอง

detail_KhunTongdaengV2_th (1)

KBank แจกฟรีบัตรภาพยนตร์ “คุณทองแดง the Inspirations”

ธนาคารกสิกรไทยร่วมสนับสนุนแอนนิเมชั่นแห่งปี “คุณทองแดง the Inspirations” ในวันนี้เพียงคุณสมัคร บัตรเดบิตกสิกรไทย หรือโหลดแล้วใช้ แอพพลิเคชั่น K-Mobile Banking PLUS ระหว่าง 1 พ.ย. – 31 ธ.ค. 58 ก็มีสิทธิ์รับบัตรชมภาพยนตร์ คุณทองแดง the Inspirations ฟรี เงื่อนไขง่ายๆ ดังนี้ คือ

สมัครบัตรเดบิต คุณทองแดง the Inspirations (K-Debit Card) ซึ่งมีจำหน่ายเฉพาะธนาคารกสิกรไทยสาขาในห้างสรรพสินค้าเท่านั้น ระหว่างเวลาที่กำหนด รับฟรีบัตรชมภาพยนตร์ “คุณทองแดง the Inspirations” จำนวน 1 ใบ

โดยพิมพ์ iDog เว้นวรรค หมายเลขบัตรเดบิต12 หลักสุดท้าย (iDog 888888888888) ส่งมาที่ 4545888 โดยธนาคารจะจัดส่งรหัส E-Voucher ให้ลูกค้าตั้งแต่ 1 ธ.ค. เป็นต้นไป

หรือโหลดแล้วใช้ K-Mobile Banking PLUS ระหว่างเวลาที่กำหนด (1 พ.ย. – 31 ธ.ค. 58) คุณจะได้รับบัตรชมภาพยนตร์ “คุณทองแดง the Inspirations” (E Voucher) ฟรี 2 ใบ สิทธินี้เป็นสิทธิพิเศษเฉพาะลูกค้าใหม่ ที่ทำธุรกรรมโอน หรือ เติม หรือ จ่าย 1 ครั้งแรก โดยลูกค้าสามารถกดรับสิทธ์ที่ปุ่ม Reward PLUS บนแอพพลิเคชั่น K-Mobile Banking PLUS 1 คน ต่อ 1 สิทธ์ (ทั้งหมด 3,000 สิทธิ์ ตลอดรายการ)

Screen Shot 2558-11-17 at 3.41.49 PM

สำหรับลูกค้าใหม่ Reward PLUS โปรโมชั่นนี้ จะ ไม่สามารถใช้ร่วมกับรายการส่งเสริมการขายหรือบัตรส่วนลดอื่นๆได้

บัตรชมภาพยนตร์ E-Voucher ใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 3 ธ.ค. 58 เป็นต้นไป (วันเริ่มฉายภาพยนตร์ ) สำหรับชมภาพยนตร์เรื่อง “คุณทองแดง The Inspirations” ประเภทที่นั่งปกติในระบบปกติ ที่โรงภาพยนตร์ในเครือ SF ทุกสาขา ยกเว้นโรงภาพยนตร์ Emprive’ Cineclub

คุณต้องแสดง E-Voucher เพื่อสำรองที่นั่ง ณ ห้องจำหน่ายบัตร ก่อนชมภาพยนตร์ ทั้งนี้ บัตรชมภาพยนตร์นี้ไม่สามารถแลกเปลี่ยนหรือทอนเป็นเงินสดได้ และไม่สามารถใช้ร่วมกับกิจกรรมส่งเสริมการขายอื่นๆได้ ธนาคารขอสงวนสิทธิในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขโดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า หากมีกรณีพิพาท คำตัดสินของธนาคาร ถือเป็นที่สิ้นสุด และเงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

Screen Shot 2558-11-17 at 3.23.18 PM

 

 

advertorial

 

 

 

View :4932

“ทีม”….วิศวกรซอฟต์แวร์แห่ง Google

October 15th, 2013 No comments

ทัดพงศ์ พงศ์ถาวรกมล หรือ “ทีม” วัย 31 ปี จบการศึกษาปริญญาตรีจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จากนั้นมาเรียนต่อในระดับปริญญาโทในสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ (University of Illinois) ด้วยทุนฟุลไบรท์ (Fulbright) จากมูลนิธิการศึกษาไทย-อเมริกัน (ฟุลไบรท์) หลังจากจบการศึกษาในระดับปริญญาโท ทัดพงศ์ ตัดสินใจเรียนต่อระดับปริญญาเอกต่อ ในสาขาเดียวกันที่มหาวิทยาลัยเดิม ในระหว่างที่กำลังศึกษาระดับปริญญาเอกอยู่นั้น บริษัท กูเกิล อิงค์​(Google Inc.) ได้มาเปิดบูธรับสมัครนักศึกษาฝึกงานที่มหาวิทยาลัยอิลินอยส์ หรือที่เรียกว่า Google Campus Visit ทัดพงศ์ จึงเดินเข้าไปขอสมัคร และได้ฝึกงานที่ Google สำนักงานใหญ่อยู่ 3 เดือน

ทัดพงศ์ พงศ์ถาวรกมล หรือ “ทีม”

“ฝึกงานเสร็จผมก็กลับมาเรียนต่อจนจบปริญญาเอก จากนั้นก็ไปทำงานเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ที่บริษัทบลูมเบิร์กอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะได้เข้ามาทำงานกับกูเกิ้ลเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ตอนเรียนจบผมสมัครงานอยู่เยอะมาก แต่ไปได้งานที่บลูมเบิร์ก ก่อนที่จะได้มีโอกาสเข้ามาทำงานกับกูเกิล”

ทัดพงศ์ บอกว่า การได้มีโอกาสมาศึกษาต่อในประเทศสหรัฐอเมริกา คือ ก้าวย่างสำคัญของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ไทยที่จะได้มีโอกาสเข้ามาใกล้กับศูนย์กลางของการพัฒนาด้านเทคโนโลยีของโลกอย่างซิลิกอน วัลเล่ย์

“เส้นทางสู่ซิลิกอน วัลเล่ย์ อาจมีหลายเส้นทาง แต่เส้นทางหนึ่งที่ผมอยากแนะนำน้องๆ ที่อยากมาทำงานที่นี่ คือ ต้องพยายามมาเรียนต่อที่นี่ก่อน จากนั้นก็หาประสบการณ์การทำงานกับบริษัทไอทีที่นี่ จากนั้นค่อยหาโอกาสหาประสบการณ์กับบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ที่น้องๆ ใฝ่ฝัน ในระหว่างเรียนก็ควรจะหาโอกาสฝึกงานกับบริษัทใหญ่เพื่อหาประสบการณ์และสร้างโปรไฟล์ให้กับตัวเอง เวลาฝึกงานกับบริษัทเหล่านี้เขาจะมี performance report ซึ่งเขาจะรู้จักเรามากขึ้นเวลาสัมภาษณ์เรา เขาก็จะรู้ว่าเราเคยสัมผัสบริษัทเขามาแล้ว มีความรู้ รู้จักสิ่งที่บริษัทเขาทำมาอยู่บ้างแล้ว”​

การจะพาตัวเองเข้ามาอยู่ที่ดินแดนแห่งไอทีได้ ทัดพงศ์ บอกว่า น้องนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรีควรจะต้องตั้งใจเรียน แม้ในวิชาที่ตัวเองอาจจะไม่ชอบหรือไม่ถนัด เพราะผลการศึกษามีส่วนสำคัญในการศึกษาต่อในระดับต่อไป นอกจากนี้น้องนักศึกษาไม่ควรที่จะเรียนอย่างเดียว แต่ควรจะหาประสบการณ์การเขียนโปรแกรม และควรมองหาโอกาสในการฝึกฝนความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นโครงการการประกวดแข่งขันการเขียนโปรแกรมต่างๆ หรือทุนการศึกษาต่างๆ เพื่อสะสมประสบการณ์ ฝึกฝนฝีมือ และที่สำคัญได้มีโอกาสฝึกการทำงานร่วมกับคนอื่น

“ทักษะภาษาอังกฤษมีความจำเป็นอย่างมากประการแรกสำหรับการมาทำงานที่ซิลิกอน วัลเล่ย์​ที่นี่เขาไม่สนใจว่าคุณจะเป็นคนชาติอะไร เขาสนใจแค่ว่าคุณสามารถทำงานได้ไหม ทำงานกับคนอื่นได้ไหม คุณมีความรู้ความสามารถที่จะทำงานได้ไหม ที่นี่เขาให้ความสำคัญกับความสามารถ ไอเดีย ความคิดของคุณมากกว่าว่าคุณเป็นคนชาติอะไร”

ทัดพงศ์ เสริมว่า สิ่งสำคัญในการทำงานที่ซิลิกอน วัลเล่ย์ คือ ความสามารถในเนื้องาน และความกล้าแสดงออกซึ่งความคิดเห็น ความกระตือรือร้นในการทำงาน ในการที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนอื่น ทั้งเพื่อนร่วมงาน หรือแม้กระทั่งกับเจ้านาย

“ถ้าหากคุณมีไอเดียเจ๋งๆ ในใจ อย่าเก็บมันไว้ ให้บอกมันออกมา ให้นำออกมาแลกเปลี่ยนกับคนอื่น ที่นี่ทุกคนพร้อมจะฟังคุณ หากไอเดียคุณดีพอ คุณก็สามารถโน้มน้าวให้เจ้านายทำตามได้”​

ทัดพงศ์​แนะว่า การที่จะเข้ามาทำงานที่บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ซิลิกอน วัลเล่ย์ได้นั้น นักพัฒนาซอฟต์แวร์ควรจะสั่งสมประสบการณ์การทำงานจากบริษัทขนาดเล็กกว่ามาก่อน

“อยากแนะนำน้องๆ ที่จะมาทำงานที่นี่ว่า อย่าเพ่ิงเลือกงาน หากได้งานอะไรที่นี่ ที่อเมริกาให้ทำไปก่อน สะสมประสบการณ์การทำงาน สะสมทักษะในการทำงาน ทักษะในงานนั้นๆ มาเรื่อยๆ แล้วคอยมองหาโอกาสที่จะขยับขยายตลอดเวลา หากโอกาสมาถึง จงคว้าไว้”

ทัดพงศ์​ยังเสริมต่อว่า ทักษะเรื่องการสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่จะต้องสามารถสื่อสารกับคนอื่นได้ สามารถที่จะสื่อสารสิ่งที่คิด และอธิบายไอเดียที่มีออกไปให้คนอื่นได้รับรู้และเข้าใจได้

“ทักษะการสื่อสารจะเป็นบันไดก้าวแรกในการให้ทำให้คุณได้งานที่นี่ เพราะการสัมภาษณ์ที่นี่มีหลายรอบมาก และแต่ละรอบเขาเน้นการสื่อสาร เพราะเป็นการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์หลายครั้ง ก่อนที่จะได้รับการเรียกให้มาสัมภาษณ์แบบพบหน้า (Face-to-face) ที่สำนักงานใหญ่ และที่สำคัญ หลายครั้งที่คำตอบไม่สำคัญเท่ากับวิธีคิด หลายคำถามในระหว่างการสัมภาษณ์ เขาต้องการวัดว่าเราคิดเห็นอย่างไร มีวิธีคิด และอธิบายมันอย่างไร เพราะฉะนั้น จงมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองคิดมาอย่างดีแล้ว และสื่อสารออกไปให้ชัดเจน”

ปัจจุบัน ทัดพงศ์​ทำงานที่ Google สำนักงานใหญ่ ในตำแหน่งวิศวกรซอฟต์แวร์ที่ดูแลเรื่องโครงสร้างพื้นฐานของบริการเสิร์จ (Search Infrastructure) เป็นเวลา 2 ปีแล้ว

“งานที่ผมทำ คือ งานส่วนที่เรียกว่า crawling system คือ โปรแกรมที่ไปดึงเว็บเพจจากทั่วโลกมาเก็บไว้ที่คลังข้อมูล ก่อนจะส่ิงข้อมูลนี้ไปที่ฝ่าย Index เพื่อประมวลผลจัดทำเป็นฐานข้อมูลเว็บเพจเพื่อให้บริการผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก เวลาคนใช้งาน Google search เขาจะพิมพ์คำหลัก (Key Word) ลงไปจากนั้นระบบจะไปค้นหน้าเว็บเพจที่เกี่ยวข้องมาแสดงผล ผมทำส่วนที่ไปถึงหน้าเพจ (ทุกเพจในโลกนี้) จากอินเทอร์เน็ตมาเก็บไว้”

ทัดพงศ์ รู้สึกดีที่ได้ทำงานที่ Google ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นบริษัทไอทีอันดับต้นๆ ของโลก แต่เพราะรู้สึกดีที่ได้รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นสร้างประโยชน์ให้กับคนนับพันล้านคนทั่วโลก

“รู้สึกว่างานที่เราทำมีความหมาย รู้สึกมีกำลังใจในการทำงาน เพราะรู้ว่าสิ่งที่เราทำมีคนได้ใช้งาน ได้ใช้ประโยชน์จากมันจริงๆ ตอนนี้มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากจะทำ อยากจะเรียนรู้ที่นี่ ที่ Google สำนักงานใหญ่”

ทัดพงศ์ บอกว่า เขาชอบ Google หลายอย่าง โดยเฉพาะวิธีที่บริษัทดูแลพนักงาน ที่นี่จะดูแลพนักงานดีมาก รวมทั้งชอบบรรยากาศในการทำงาน ชอบเพื่อนร่วมงาน นิสัยดีและเป็นคนเก่ง ทำให้เขาได้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เรียนรู้วิธีคิดจากเพื่อนร่วมงาน

“การเป็นคนเอเชีย ต้องมาทำงานที่ Google สำนักงานใหญ่ ในช่วงแรกๆ ผมจะมีปัญหาเรื่องภาษา ต้องปรับตัวเรื่องภาษา ซึ่งคนที่ทำงานที่นี่มีหลากหลายสัญชาติมาก บางทีเขาพูดแล้วเราฟังไใ่ค่อยรู้เรื่อง เพราะสำเนียงเขาไม่ใช่คนที่นี่ ต้องปรับตัวอยู่สักพักหนึ่ง ส่วนเรื่องวัฒนธรรมมีบ้างที่ต้องปรับตัว โดยเฉพาะนิสัยที่ไม่ค่อยแสดงควาคิดเห็น ช่วงแรกๆ ผมจะเงียบๆ ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยแสดงออก ไม่ค่อยออกความคิดเห็น จนเพื่อนร่วมงานบอกว่า คุณต้องแสดงออก แสดงความคิดเห็นมากขึ้นนะ ที่คนต้อง Active ต้องกระตือรือร้นตลอดเวลา ที่นี่เขาไม่ได้มองว่าคุณเป็นคนชาติอะไร หรือเพศอะไร เขามองที่ผลงานล้วนๆ เขาไม่ได้ดูตำแหน่งด้วย สมมติว่าเรามีไอเดียดีจริงๆ แล้วเรามีประเด็นที่จะนำเสนอ ต่อให้เราเป็นผู้น้อย เราก็สามารถคุยกับเขา สามารถโน้มน้าวเขาได้ เขาจะรับฟัง”

ทัดพงศ์​ทิ้งท้ายฝากน้องๆ เด็กไทยที่อยากจะมาทำงานที่ซิลิกอน วัลเล่ย์ ว่า ก่อนอื่นเลยจะต้องเป็นคนที่รักและชอบงานด้านนี้ เพราะงานด้านนี้ คือ งานที่ต้องทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา พอรักชอบแล้วก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม โดนเริ่มจากการขยันเรียนตั้งแต่ระดับปริญญาตรี ควรทำเกรดในทุกวิชาให้ดี แม้แต่ในวิชาที่ไม่ชอบ และพยายามมองหาโอกาสที่จะเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ อาทิ การประกวดการเขียนซอฟต์แวร์​และทุนการศึกษา

View :4791

ชี้ออก พรบ. ปรองดองระวังเสื้อแดงบางส่วนมองว่าหักหลัง ฝ่ายค้านไม่เอา พรบ.ปรองดองย้ำห้ามแตะ ม.112 เตือนอาจเป็นจุดเปลี่ยนสงครามความขัดแย้งทางความเชื่อ

May 26th, 2012 No comments


สมาคมนักข่าว – ฝ่ายค้านระบุรัฐบาลเลือกแนวทางออก พรบ.ปรองดองแบบสุดขั้ว อาจบานปลายสู่สงครามความขัดแย้งทางความเชื่อ ย้ำห้ามแตะ ม. 112 “พนัส” ระบุเสื้อแดงบางส่วนไม่พอใจ มองว่าถูกหลอกถูกหักหลัง เพราะมาตรา 5 ออกมาเพื่อทักษิณโดยเฉพาะ และยุติการแสวงหาความจริงเอาผิดผู้ทำร้ายประชาชน แนะล้มหลักคำพิพากษาศาลฎีกา “ให้รัฐประหารสำเร็จเป็นรัฐาธิปัตย์” ตัดต้นตอปฏิวัติ

การสัมมนาสาธารณะหัวข้อ “พลวัตทางการเมืองหลัง 111 คืนชีพ ???” จัดโดยผู้เข้าอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับกลาง (บสก.) รุ่นที่ 3 สถาบันอิศรา มูลนิธิสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย วิทยากรผู้อภิปรายประกอบด้วย นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำชาติพัฒนา นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล เลขาธิการมูลนิธิ 111 ไทยรักไทย นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ นายพนัส

ทัศนียานนท์ อดีต ส.ว.ตาก อดีต ส.ส.ร. 2540 ดำเนินการอภิปรายโดย นายเสถียร วิริยะพรรณพงศา ผู้สื่อข่าวอาวุโส เครือเนชั่น จัดขึ้นที่ห้องประชุมอิศรา อมันตกุล สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มีประชาชนและสื่อมวลชนเข้าร่วมฟังการเสวนาประมาณ 80 คน

การสัมมนาเริ่มต้นจากวิทยากรได้ตอบสอบถามผู้ดำเนินรายการถึงความเห็นเกี่ยวกับการเสนอร่าง พรบ.ปรองดองแห่งชาติในแง่มุมต่าง ๆ โดยหลายเสียงเป็นกังวลว่าจะนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงในสังคมไทยในอนาคต

​นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่าเดิมสถาบันพระปกเกล้าเสนอ 3 แนวทาง คือ แนวทางแรกล้มล้างทั้งหมด แล้วคืนเงิน4 หมื่นกว่าล้านบาทให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ใน 54 คน มีคนเห็นด้วย 2 คน แนวทางที่ 2 คือ ในระหว่างสอบสวนยกเลิกหมด ยกเว้นส่วนที่ตัดสินไปแล้ว และแนวทางที่ 3 คือ ยกเลิกหมด แล้วเริ่มกระบวนการสอบสวนใหม่ โดยไม่ถือว่า ขาดอายุความ แต่วันนี้สภา ฯ กลับยกแนวคิดที่ 1 ซึ่งเป็นแนวคิดสุดขั้วซึ่งมีผู้ทรงคุณวุฒิเห็นด้วยเพียง 2 คนขึ้นมานำ

นายนิพิฏฐ์ย้ำว่าประเด็นนี้ตนเห็นว่าจะทำให้เกิดความรุนแรงขึ้น แทนที่จะเกิดความปรองดอง และจะยิ่งจะสร้างความขัดแย้งขึ้นอีก นอกจากนี้ ยังมีสิ่งที่ตนคาใจ คือ หากยึดหลักนี้และคืนเงินให้ พ.ต.ท.ทักษิณ

ชินวัตร จะต้องคืนเงินให้แก่ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัษฎ์ และจอมพลถนอม กิตติขจร หรือไม่ เพราะทั้งสองคนถูกยึดทรัพย์ด้วยคำพิพากษาของศาลฎีกาเช่นกัน

“อย่ามาตัดตอนขบวนการยุติธรรมด้วยการออก พรบ. ปรองดองเพื่อนิรโทษกรรม ถ้ากล่าวหาว่าสั่งฆ่าประชาชน ก็ไปพิสูจน์ทางศาล กล่าวหาว่าเผาบ้านเผาเมือง ก็ไปพิสูจน์ทางศาล มันยุติธรรมดีหรือไม่” นายนิพิฏฐ์กล่าว

นายนิพิฏฐ์ย้ำว่าสงครามครั้งใหญ่ในอนาคตเป็นสงครามที่ต่อสู้เรื่องความเชื่อสูงสุดของมนุษย์ เช่นสงครามศาสนา ขออย่างเดียวอย่าแต่ความเชื่อสูงสุดของตนและคนไทยอีกส่วน ขอเรื่อง ม.112 ถ้าไม่หยุดอาจจะต้องมาฆ่ากันจริงก็ได้ เพราะเวลาชุมนุมเสื้อแดงจะชูป้าย 112 แล้วกากบาก เขียนว่า “กูไม่เคารพพ่อหนักหัวใคร” มวลชนที่กำลังเติบโตและควบคุมไม่ได้ ถ้าไปแตะต้องความเชื่อสูงสุดเมื่อไหร่เกิดสงครามกันแน่ คุณไปลบล้างผลพวงปฏิวัติผมถอยหมดเพราะเสียงข้างน้อย แต่บางเรื่องขออย่าไปยุ่ง

ด้าน นายพนัสกล่าวว่ากฎหมายปรองดองที่จะออกมา จะทำให้เกิดจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญทางการเมืองไทย มวลชนเสื้อแดงส่วนหนึ่งจะมองว่าเขาถูกลอยแพ เพราะมีบทบัญญัติคุ้มครองความผิดของ ศอฉ. เจ้าหน้าที่ทหาร ตรงนี้จะเป็นนิมิตหมายที่ทำให้ประชาชนตระหนักว่าอันที่จริงประชาชนถูกหลอกใช้หรือไม่ และอาจจะนำไปสู่การเกิดพรรคใหม่ทางการเมืองอย่างพรรคกรีน

“มีมาตรา 5 สำหรับคุณทักษิณโดยเฉพาะ ลบล้างผลการตัดสินต่อคุณทักษิณทั้งยึดทรัพย์ ทั้งจำคุกด้วย จุดนี้อาจเป็นตัวชนวนที่อาจทำให้เพื่อไทยเดินไปทาง เสื้อแดงก็อาจแตกกันเอง เป็นเสื้อแดงที่เอาทักษิณ กับเสื้อแดงที่เอาประชาธิปไตย ซึ่งอาจจะก่อกวนและก่อเกิดความรุนแรง และไม่เชื่อว่ารัฐบาลที่เกิดใหม่ แม้จะมาจาก 111 จะแก้ไขได้ ถ้าเสื้อแดงกลุ่มนี้มีค่อนข้างมาก เพราะเขาไม่ได้อ้างหลักปรองดองแบบนี้ เขาต้องการให้คนผิดต้องถูกลงโทษ เป็นนิรโทษกรรมอีกแบบ ไม่ใช่การล้มล้างผลพวงการรัฐประหารจริง ๆ ถ้าให้ดีควรมีการปฏิรูปการเมืองอีกรอบ และคอรัปชั่นเชิงนโยบายมีมูล ถ้าแก้ไม่ได้วงจรอุบาทว์ก็จะถูกหยิบยกกลับมา และบวก ม.112 สุดท้ายจะกลับมาเป็นสงครามความเชื่อบวกสงครามคอรัปชั่น” นายพนัสกล่าวในเชิงสนับสนุนนายนิพิฏฐ์

นายพนัสกล่าวว่าร่าง พรบ.ปรองดองมีความสมดุลอย่างดี นิรโทษกรรมการรัฐประหาร การปราบเสื้อแดง ปราบเสื้อเหลือง ขณะเดียวกันก็คืนให้คุณทักษิณ เป็นการเกี้ยเซี้ยไม่ใช่การปรองดอง เพราะทุกคนอิสระก็กลับสู่สถานีรบของตัวเอง การเมืองก็จะกลับเป็นแบบเดิม ๆ อีก

นายพนัส กล่าวถึงการรัฐประหารว่าถ้าอยากต่อต้านรัฐประหารจริงต้องล้างคำพิพากษาศาลฎีกา ที่วินิจฉัย “เมื่อทำรัฐประหารสำเร็จก็เป็นรัฐาธิปัตย์” ตราบใดที่ไม่ลบคนทำรัฐประหารก็สบายใจ รัฐธรรมนูญที่จะเขียนต่อไปก็ไม่มีความหมาย ถ้าคำพิพากษาต้นตอนี้ไม่ล้มล้างไป

“ผมพูดไปไกลกว่านิติราษฎร์ ควรทำเหมือนประเทศตุรกี เอาผู้ทำรัฐประหารย้อนหลังมาลงโทษทั้งหมด ถ้าแก้ตรงนี้ไม่ได้ โอกาสที่จะเกิดเงื่อนไขรัฐประหารก็จะเกิดขึ้นอีก การเปลี่ยนบรรทัดฐานนี้ได้เมื่อศาลฎีกาประชุมใหญ่แล้วมีมติให้เปลี่ยนแปลง เพราะไม่อย่างนั้นไม่ว่าจะเกิดการรัฐประหารขึ้นอีกกี่ครั้ง ก็จะตัดสินแบบเดียวกันนี้” นายพนัสกล่าว

ส่วน นายวิชิตกล่าวว่า เท่าที่ดูคร่าว ๆ ก็คิดว่าตรงใจกับประชาชนทั้งประเทศที่ต้องการจะเห็นความปรองดอง แต่ว่าจะไปถึงขนาดไหน ก็ต้องไปดูรายละเอียดของข้อกฎหมายอีกทีหนึ่งว่า

สำหรับแนวทางปรองดองที่มีอยู่สามกรอบนั้น นายวิชิตกล่าวว่ากรอบแรกคือนิรโทษกรรมให้กับเจ้าหน้าที่ที่ไปทำร้ายผู้ชุมนุม และผู้ชุมนุมที่ถูกกล่าวหาไม่ว่าจะเป็นข้อหาก่อการร้าย ข้อหาผิด พรก. อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ก็จะยกเลิกไม่ดำเนินคดี กรอบที่สอง เป็นเรื่องการล้มล้างผลพวงของการรัฐประหาร หมายถึงเรื่องของ การตั้ง คตส. ตั้งกระบวนการยุติธรรมที่หลายมาตรฐาน และเป็นกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ปกติ เพื่อจัดการกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ได้รับโทษจำคุก 2 ปี กรณีที่ดินรัชดา และกรอบที่สาม ก็เป็นเรื่องของกรอบการคืนสิทธิให้กับบ้านเลขที่ 111 ส่วน 109 จะเป็นไปได้แค่ไหน ก็ต้องรอดู

“ส่วนคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ จะได้รับผลพวงจากเรื่องนี้ด้วยหรือไม่ในฐานะผู้สั่งการสลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากก็ยังไม่แน่ใจ” นายวิชิตกล่าว

ต่อข้อถามว่า พรบ.ปรองดองจะกลายเป็นชนวนความขัดแย้งอย่างที่วิเคราะห์กันหรือไม่นั้น นายวิชิต กล่าวว่า หากเราสามารถอธิบายหรือยึดหลักนิติธรรมให้ชัดเจน ชี้แจงให้สื่อมวลชนและพี่น้องประชนให้เข้าใจ ยกตัวอย่างกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ เห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม พ.ต.ท.ทักษิณก็บอกว่า รับได้หากจะกลับมาแล้วถูกดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมตามปกติ ตรงนี้ประชาชนรับได้หรือไม่ ที่สำคัญจะอธิบายอย่างไรให้พี่น้องประชาชนเข้าใจ

“แม้กระทั่ง ม.112 ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมก็ไม่อยากกล่าวถึงเพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่กรณีอย่างนี้ ผมเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนก็ตาม ถ้ามีมุมที่เป็นคุณและเป็นโทษ มุมหนึ่งมองว่ากระทบสถาบัน มุมหนึ่งบอกปกป้องสถาบัน รัฐบาลไหนก็ไม่เอาด้วยที่จะเข้าไปกำหนดนโยบายหรือแก้ไขอะไร ถ้าถามผม ความคิดที่จะเข้าไปแก้ไข ม.112 คิดว่ามีเปอร์เซ็นต์น้อยมาก เพราะว่าขณะนี้ยังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน” นายวิชิตกล่าว

ทางด้าน นายวิชิตกล่าวว่าองค์กรศาลต้องเปลี่ยนแปลงแนวคิด ตุลาการภิวัตน์ต้องลดน้อยลง คนคิดใช้อำนาจนอกระบบมาเปลี่ยนแปลงจะลดน้อยลง และแนวคิดบางเรื่องของกลุ่มนิติราษฎร์เรื่องลบล้างผลพวงของรัฐประหารทุกเรื่อง จะยิ่งมีส่วนช่วยลดการรัฐประหาร

ขณะที่ นายสุวัจน์กล่าวว่าสังคมตระหนักว่าการปรองดองมีความจำเป็น แต่ขอมองอย่างการทูต ก่อนที่จะเป็นทางการกระบวนการปรองดองจะมีสิ่งที่ไม่เป็นทางการ เช่นจับเข่าคุยกันในหมู่ผู้ขัดแย้งก่อน ถ้าการเมืองแก้ด้วยการเมือง หากนักเมืองคิดว่าเป็นความรับผิดชอบของเรา ก็ต้องลงมารับผิดชอบจริง ๆ อยากเห็นผู้ใหญ่ที่มีบารมี หรือนักการเมือง 111 เดินสายพูดคุยกัน เพราะเวลานี้เราขาดตัวเชื่อมทางการเมือง

ต่อข้อถามว่าการเมืองวันนี้ยังมีความเสี่ยงรัฐประหารหรือไม่นั้น นายสุวัจน์กล่าวว่า เราเห็นกันอยู่แล้วว่าการรัฐประหารสวนกระแสโลก กระแสสังคม ระยะยาวเสียหายมาก ถ้ายึดหลักประชาธิปไตย 4 ปี ให้ประชาชนคือคำตอบจะดีที่สุด จะรักษาความเป็นมาตรฐานของประเทศไทยสูงในสายตาระดับโลก สิ่งที่ดีที่สุดคือการสร้างภูมิคุ้มกันในระบอบประชาธิปไตย

View :4320
Categories: Uncategorized Tags:

“นพพร ฟามาซี” ร้านขายยาไฮเทคแห่งเกาะพะงัน

May 20th, 2012 No comments

นักท่องเที่ยวและชาวบ้านแห่งเกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี เชื่อแน่ว่าไม่มีใครไม่รู้จักร้าน “นพพร ฟามาซี” ร้านขายยาและมินิมาร์ทเก่าแก่อายุ 20 ปีแห่งนี้อย่างแน่นอน “นพพร ชูแก้ว”เจ้าของที่บุกเบิกร้านขายยาตั้งแต่มีเพียงสาขาเดียวจนปัจจุบันมี 11 สาขา และกำลังจะเปิดอีกสาขาในอีก 2 เดือนข้างหน้า เผยเคล็ดลับของการบริหารร้ายขายยาที่มีสาขาจำนวนมากและมีสินค้าหมุนเวียนต่อสาขาอีกนับหมื่นรายการได้อย่างมีประสิทธิภาพว่า “ไอทีคือตัวช่วยสำคัญ”

นพพร เล่าวว่า ตนเป็นคนเมืองตรัง แต่ได้ย้ายมาตั้งรกรากที่เกาะพะงันกับภรรยาที่เป็นคนเกาะพะงัน และได้เริ่มต้นธุรกิจร้านขายยายซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัวของภรรยามาเก่าก่อน มาตั้งเป็น “นพพร ฟามาซี”ที่เป็นทั้งร้านขายยาและมินิมาร์ทตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว จากสาขาแรกนพพรก็ขยายสาขาเพิิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามการเจริญเติบโตของเกาะพะงัน ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติหลั่งไหลมาท่องเที่ยวบนเกาะจำนวนมากทุกปี นพพรขยายกิจการร้านขายยาอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันมีสาขามากถึง 11 สาขา โดยที่ 9 สาขาอยู่ในเกาะพะงัน และอีก 3 สาขาอยู่ที่เกาะเต่า

“ตอนแรกเลยมาเปิดเป็นร้านเล็กๆ ลูกค้าก็จะเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ เป็นคนบนเกาะเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการเท่าไหร่ จนหลายปีต่อมาคนทั่วไปและนักท่องเที่ยวเริ่มรู้จักเกาะพะงัน จึงทำให้มีนักท่องเที่ยวมากขึ้นๆ ธุรกิจที่ทำอยู่เลยต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ให้ดูดีและมีมาตรฐานขึ้น พอนักท่องเที่ยวเริ่มมากขึ้น เราเองก็ต้องปรับปรุงร้าน ขยายสาขาเพิ่ม ตรงจุดนี้ทำให้ต้องหันมาพึ่งไอทีในการควบคุมดูแล ทั้งในส่วนสต๊อคยา การบริหารสต๊อค ข้อมูลสินค้า ราคา และอื่นๆอีกเยอะที่ลำพังใช้คนอย่างเดียวไม่สามารถทำได้” นพพรกล่าว

เมื่อจำนวนสินค้าที่ขายในร้านก็มีจำนวนมากทั้งยาและส่วนของมินิมาร์ท ทำให้นพพรซึ่งมีความคุ้นเคยกับคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี เพราะชอบในเทคโนโลยีจึงเริ่มนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการลงบันทึกจำนวนและประเภทของสินค้าที่ขาย รวมถึงรายการสินค้าที่ขายของแต่ละสาขาเมื่อราวสิบปีที่แล้ว แต่เมื่อธุรกิจขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ด้วยจำนวนสาขาที่เพ่ิมมากขึ้น จำนวนสินค้าที่ต้องจัดเก็บมีเพ่ิมมากขึ้นอย่างมาก ทำให้การจัดเก็บข้อมูลสินค้าด้วยตนเองลงเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่สะดวกอีกต่อไป นพพรจึงเริ่มมองหาซอฟต์แวร์ที่จะเข้ามาช่วยในการจัดเก็บข้อมูลของสินค้าและรายการขายของทุกร้านเพื่อที่จะได้เห็นภาพรวมของธุรกิจร้านขายยาทุกสาขาได้อย่างชัดเจนและได้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน

“ตอนแรกๆที่หันมาใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการจัดเก็บข้อมูลสินค้าและรายการขายก็รู้สึกได้เลยว่ามันดีมาก มันควบคุมทุกอย่างได้ง่ายขึ้น เราเองก็ทำงานน้อยลง เหนื่อยน้อยลง แต่พอเริ่มขยายสาขาออกไปเรื่อยๆ ปัญหาก็เริ่มเกิด เช่น ข้อมูลสินค้าที่ไม่สามารถแชร์กันได้ทุกสาขา เรื่องการสำรองข้อมูล เรื่องความเสี่ยงที่ข้อมูลในคอมจะสูญหายเนื่องจากคอมพิวเตอร์พัง การอัพเดทข้อมูลต่างๆ การพัฒนาตัวโปรแกรม และอื่นๆอีกมากมาย การแก้ปํญหาก็ต้องทำเป็นจุดๆแก้ทีละอย่าง เกิดปัญหาตรงไหนก็แก้ตรงนั้น ซึ่งต้องใช้เวลาและคนที่มีความรู้ด้านไอทีจริงๆ ก็ค่อนข้างเหนื่อยพอสมควร ทำให้ผมเริ่มมองหาระบบที่จะสามารถตอบโจทย์ตรงความต้องการของผม และคำตอบก็มาตกที่ระบบซอฟต์แวร์ผ่านคลาวด์”

นพพรจึงตัดสินใจเลือกใช้บริการซอฟต์แวร์ผ่านระบบคลาวด์ของบริษัท Absolute Software จำกัด นพพรเลือกใช้ทุก module ของระบบซอฟต์แวร์บริหารสินค้าคงคลัง (Stock and Inventory Management System) ตั้งแต่ระบบ POS (Point of Sale), ระบบจัดซื้อ,ระบบการเงิน, ระบบฐานข้อมูลสินค้าและระบบรายงานการขาย ไปจนถึงระบบบริหารสินค้าคงคลัง

นพพรบอกว่า เพียงแค่ร้ายขายของตนทุกร้านต่อเชือ่มเข้ากับอินเทอร์เน็ต ทุกรายการขาย และทุกสินค้าที่ขายออกไปของทุกสาขาจะถูกบันทุึกไว้ในระบบทันที ทำให้นพพรรู้ว่าสต็อกสินค้าของร้านสาขาใดมีสินค้ารายการใดบ้างของสาขาใดบ้างที่ลดลงและต้องการเติมเข้าสต็อก เพื่อให้มีของขายได้ตลอดเวลา

“สินค้าเราหมนุเวียนเร็วมาก เราต้องเติมของเข้าสต็อกทุกสัปดาห์ๆ ละ 2-3 ครั้ง เพราะเราจะรู้สถานะของสต็อกของทุกสาขา ข้อมูลจะเป็นปัจจุบัน คือ real-time ทันทีที่สินค้าถูกสแกนบาร์โค้ดที่จุดขาย ทำให้เราสามารถบริหารสต็อกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องสต็อกของมากเกินไป ในขณะที่ของก็จะไม่ขาดสต็อก”

Could computing ตอบโจทย์ปัญหาที่เกิดขึ้นได้หมดเลย ตอนนี้ “ร้านนพพร ฟามาซี”ทั้ง 11 สาขา ใช้บริการ Could computing ของ Absolute solution

“บริษัทซอฟต์แวร์นี้ดูแลผมดีมากๆ ทั้งเรื่อง Hardware และ Software โปรแกรมเมอร์ใจดีช่วยปรับปรุงตัวโปรแกรมให้เข้ากับงานของผม คอยให้คำแนะนำเรื่องการใช้งานและการสร้าง feature ใหม่ๆอยู่ตลอด ตอนนี้ผมควบคุมดูแลร้านได้สะดวกและไม่เหนื่อยเลย อยากทำอะไร อยากเปลี่ยนเเลงอะไรตรงไหนก็เปิดคอมพิวเตอร์ และคลาวด์ก็ทำให้ผมสามารถทำงานได้ทันทีทุกที่ ทุกเวลา ทุกวันนี้ผมนั่งมองตัวเลขรายได้ที่วิ่งเข้ามาแล้วมีความสุขครับ” นพพรกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

View :4381

บสก.3 – สถาบันอิศรา จัดสัมมนาประเด็นร้อนรับการเมืองไทย “พลวัตทางการเมืองหลัง 111 คืนชีพ ???”

May 20th, 2012 No comments


ผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับกลาง (บสก.) รุ่นที่ 3 ภายใต้การสนับสนุนของสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย จัดสัมมนาสาธารณะเรื่อง “พลวัตทางการเมืองหลัง 111 คืนชีพ ???” ในวันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม 2555 เวลา 09.00-12.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 3 สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ เชิญร่วมรับฟังการอภิปรายแนวโน้มทิศทางการเมืองไทยและบทบาททางการเมืองของสมาชิกบ้านเลขที่ 111 จากนักการเมืองคนสำคัญ ที่จะหวนคืนสู่สนามการเมืองไทยอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2555 เป็นต้นไป หลังถูกเพิกถอนสิทธิครบ 5 ปี

พบกับ นักการเมือง อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย บ้านเลขที่ 111 และผู้ทรงคุณวุฒิทางการเมือง ตัวจริงเสียงจริง 4 ท่าน ประกอบด้วย นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำพรรคชาติพัฒนา นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล เลขาธิการมูลนิธิ 111 ไทยรักไทย นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ และ นายพนัส ทัศนียานนท์ อดีต ส.ว.ตาก และอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 โดยมี นายเสถียร วิริยะพรรณพงศา ดำเนินรายการ

เวทีสัมมนาสาธารณะดังกล่าว ผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับกลาง (บสก.) รุ่นที่ 3 จัดขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อตอบสนองการรับรู้ข่าวสารและความเคลื่อนไหวทางการเมืองจากทุกภาคส่วน ตลอดจนกระตุ้นและสร้างจิตสำนึกการมีส่วนร่วมทางการเมืองของคนไทยทั้งประเทศ และที่สำคัญยังเป็นการช่วยพัฒนาทางการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอีกทางหนึ่งด้วย ผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังการสัมมนาติดต่อสำรองที่นั่งได้ที่สถาบันอิศราโทร. 02 241 3905 หรือ 085 071 2840 หรือลงทะเบียนผ่านทางเว็บไซต์ที่ www.111reborn.weebly.com

View :2788
Categories: Uncategorized Tags:

บสก.3 – สถาบันอิศรา จัดสัมมนาประเด็นร้อนรับการเมืองไทย “พลวัตทางการเมืองหลัง 111 คืนชีพ ???”

May 8th, 2012 No comments

ผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับกลาง (บสก.) รุ่นที่ 3 ภายใต้การสนับสนุนของสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย จัดสัมมนาสาธารณะเรื่อง “พลวัตทางการเมืองหลัง 111 คืนชีพ ???” ในวันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม 2555 เวลา 09.00-12.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 3 สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ เชิญร่วมรับฟังการอภิปรายแนวโน้มทิศทางการเมืองไทยและบทบาททางการเมืองของสมาชิกบ้านเลขที่ 111 จากนักการเมืองคนสำคัญ ที่จะหวนคืนสู่สนามการเมืองไทยอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2555 เป็นต้นไป หลังถูกเพิกถอนสิทธิครบ 5 ปี

พบกับ นักการเมือง อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย บ้านเลขที่ 111 และผู้ทรงคุณวุฒิทางการเมือง ตัวจริงเสียงจริง 4 ท่าน ประกอบด้วย นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำพรรคชาติพัฒนา นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ และ นายพนัส ทัศนียานนท์ อดีต ส.ว.ตาก และอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 โดยมี นายเสถียร วิริยะพรรณพงศา ดำเนินรายการ

เวทีสัมมนาสาธารณะดังกล่าว ผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับกลาง (บสก.) รุ่นที่ 3 จัดขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อตอบสนองการรับรู้ข่าวสารและความเคลื่อนไหวทางการเมืองจากทุกภาคส่วน ตลอดจนกระตุ้นและสร้างจิตสำนึกการมีส่วนร่วมทางการเมืองของคนไทยทั้งประเทศ และที่สำคัญยังเป็นการช่วยพัฒนาทางการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอีกทางหนึ่งด้วย ผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังการสัมมนาติดต่อสำรองที่นั่งได้ที่สถาบันอิศราโทร. 02 241 3905 หรือ 085 071 2840 หรือลงทะเบียนผ่านทางเว็บไซต์ที่ www.111reborn.weebly.com

View :2765
Categories: Uncategorized Tags:

NForum: Digital platform for job seekers and freelencers ที่ Siam City Hotel

April 28th, 2012 No comments
  1. Share
  2. Share
    RT @misterAum: ความต่างของเว็บ Linkedin กับเว็บหางานคือ – Linkedin จะมีคนเข้ามาคุ้ยหา Profile ที่น่าสนใจ ส่วนคนที่กำลังหางานจะใช้เว็บหางาน #NForum
  3. Share
    SME สามารถใช้ปย.จาก digital platform ได้เช่นกัน เพราะคนรุ่นใหม่คุ้นชินกับการใช้สื่อ digital หาก SME ใช้ tools นี้เป็นได้คนที่ต้องการ #NForum
  4. Share
    ในวงการ HR ของธุรกิจโรงแรม Social Media มีผลมากในการหาคนที่ต้องการ #NForum
  5. Share
    Hr เดี๋ยวนี้ต้องเปิดใจ เพราะเด็กเปิดคอมมา ก็เปิดโซเชียลมีเดียแล้ว #NForum
  6. Share
  7. Share
    ประมาณการจากสายตา วันนี้มีคนฟัง #nforum เกือบ 100คนแหนะ กับหัวข้อ Digital Platforms Job Seekers and Freelancers ^__^
  8. Share
    เด็กรุ่นใหม่ที่ไม่เคยมีปสก.เลยจะเข้าวงการโรงแรมยาก …. ซึ่งในกรุ๊ป campus recruit เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กรุ่นใหม่เข้าสู่ธุรกิจโรงแรม #NForum
  9. Share
    Influencer มีประโยชน์มากสำหรับแบรนด์ในการสร้าง Awareness บนโลกออนไลน์ (ตัวอย่างเช่น เครื่องสำอางในคลิปโมเมพาเพลิน) #NForum
  10. Share
    Digital Platform มีต้นทุนต่ำมากในการโปรโมทตัวเองและสร้าง Personal Branding เช่น แชร์เรื่องที่สนใจผ่าน Blog และกระจายผ่าน SN #NForum
  11. Share
    จะสมัครบริษัทด้านสินค้าอุปโภคบริโภค ควรศึกษาก่อนว่ามีสินค้าแบรนด์อะไรบ้าง #Nforum #Hrtwt ow.ly/i/AO9e
  12. Share
    P&G คัดเลือกนักศึกษาฝึกงานในแต่ละปีแค่ 6-7 คน อัตราส่วนการรับโหดกว่าการรับพนักงา่นปกติ #NForum
  13. Share
  14. Share
    คุณธิดารัตน์เสริมว่าSocial Mediaเป็นช่องทางช่องทางหนึ่งในการประกาศตำแหน่งงาน รูปแบบ Post>Ment>Share #hrtwt #NForum
  15. Share
    http://Pantip.comห้องสีลมเป็นแหล่งที่ผู้สมัครสามารถสืบค้นได้เลยว่าองค์กรไหนเป็นEmployer of choiceหรือEmployer of cheat #hrtwt #NForum
  16. Share
    Facebook เป็นเรื่องของ Fake คือ สามารถตกแต่งสาระได้ เพราะฉะนั้นจะไม่เอา สาระบน facebook มาพิจารณาในการรับสมัครงาน via @SiamBuzz #Nforum
  17. Share
    HRสมัยนี้ จะสัมภาษณ์ใครก็จะทำการresearchผ่านGoogleและSocial Mediaก่อน #hrtwt #NForum
  18. Share
    P&G ไม่มีนโยบายให้ใช้ ้ข้อมูลบน social media เป็น criteria ในการพิจารณารับสัมครงาน #NForum
  19. Share
    utilization ของ social network คือ การสร้าง connection และพา online connection ไปสู่ offline connection #NForum
  20. Share
    อย่าขี้จุ๊ copy resume กันนะ ฟอร์มเดียวกัน อย่าให้เพื่อนเขียนให้ HR เขารู้นะ เรียงกัน 3 คน เหมือนกันเป๊ะ #NForum #HRTwt
  21. Share
    #NForum … Digital Platforms Job Serkers & Freelancers (at @siambuzz) [pic] — path.com/p/3KWaOy
  22. Share
    RT @AdeccoThailand: คุณธิดารัตน์บอกว่า Facebook คือ “Privacyบนเวทีสาธารณะ” #NForum #hrtwt
  23. Share
    ชื่อ กับ นามสกุล คือสิ่งแรกของ candidate ที่จะถูก HR เช็คจาก google #NForum
  24. Share
    Adeccoจะไม่ใช้Social Mediaในกระบวนการการคัดเลือกคน แต่ถ้าสัมภาษณ์แล้วบางอย่างเป็นเรื่องน่าสงสัย จะใช้Social Mediaเพื่อProve #hrtwt #NForum
  25. Share
    RT @kiwiezkr: บริษัทควรมี social network guideline ให้พนักงาน (ป้องกันเรื่องการผิดcode of conduct) #NForum
  26. Share
  27. Share
    การสร้างปฏิสัมพันธ์ในองค์กร บนโลกออนไลน์ มีหลาย level >> secret group, closed group, open group #NForum
  28. Share
    RT @AdeccoThailand: พนักงาน เป็น Brand Ambassador ขององค์กร ในโลกSocial Media ดังนั้น คิดก่อนโพสต์,follow policy and code of conduct #hrtwt #NForum
  29. Share
    ตัวตนบนโลกออนไลน์ กับ performance ของพนักงาน เป็นคนละเรื่องกัน ไม่ได้เอามาเป็นตัวชีวัดอะไร via @Chutchapol @SiamBuzz #NForum
  30. Share
    RT @lekasina: collaborative tools ต่างๆ สามารถนำมาใช้เพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพการทำงานของคนในองค์กรได้ @AdeccoThailand #NForum
  31. Share
    RT @AdeccoThailand: สิ่งที่องค์กรต้องมีคือ Social Media Policy เพื่อให้พนักงานรู้และเข้าใจวิธีใช้งานเพื่อแยกแยะระหว่างPersonalกับพาดพิงองค์กร #hrtwt #NForum
  32. Share
    RT @lekasina: การจะแอดเจ้านายมาเป็นเพื่อนบน facebook ต้องเลือกแอดเจ้านายที่เข้าใจเรา ว่า เราเล่นเกม ไม่ใช่เราไม่ทำงาน เราบ่นใช่ว่าไม่พอใจ #NForum
  33. Share
    RT @ChuterColourful: RT @yokekung: งานอดิเรก เขียนหลอกๆไม่ได้นะ HR รู้แหล่ะ อย่าหลอกดีกว่า #HRTwt #NForum
  34. Share
    what’s happened in social network, it will be in social network forever … via @vow_vow repeated by @Chutchapol #NForum
  35. Share
    drama management คนที่ทำงานแล้วควรมีวุฒิภาวะในการใช้ social network ระดับหนึ่ง #Nforum
  36. Share
    Social media feed is your personal branding. It affect your reputation. Be careful. #NForum
  37. Share
    ตัวตนบนโลกออนไลน์มีผลน้อยเมื่อทำงานกับเราแล้วและงานยังปกติดี แต่จะมีผลมากต่อเมื่อต้องการคนใหม่มาร่วมงาน #hrtwt #NForum
  38. Share
    RT @lekasina: ฝรั่งเขามักจะไม่แอดเพื่อนร่วมงานเป็นเพื่อนบน facebook แต่คนไทยเราไม่ จะแอดปะปนกันไปหมด #NForum
  39. Share
    คนเรา mixed คนเรา mouth เพราะฉะนั้น แม้ว่าองค์กรจะบอกว่า ตัวตนบนโลกออนไลน์ไม่มีผลต่อการรับสมัครงานหรือต่อการทำงานนั้น ไม่จริงเสมอไป #NForum
  40. Share
    ต่างประเทศเค้าไม่รับแอดเฟรนด์เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมงานก็คือเพื่อนร่วมงาน via @Chutchapol #NForum
  41. Share
    แก่นของงาน HR ก็ยังเป็นเรื่องของ “คน” social media เป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่ง #NForum
  42. Share
    RT @lekasina: ในตปท.เริ่มมีบริษัทกลางที่รับจ้าง research คนจากตัวตนของเขาบนโลกออนไลน์ เชือ่ว่าในอนาคตไม่นานน่าจะเข้ามาในไทย #NForum
  43. Share
    social media ไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมของคน ลักษณะนิสัยของคนไม่ได้เปลี่ยนเพราะ social media via @spin9 #Nforum
  44. Share
  45. Share
    RT @lekasina: คนเรา connect กันก็เป็น social media กันมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่ามันไม่ได้ online เท่านั้นเอง #Nforum
  46. Share
  47. Share
View :2454
Categories: Uncategorized Tags:

Rabbit Card บัตรเดียวโดยสารร่วม BTS-MRT

April 26th, 2012 No comments

{“name”:”Internal Server Error”,”code”:500}

View :2569
Categories: Uncategorized Tags: